Month: November 2020

มาส์กหน้าอย่างไรให้ได้ผลและถูกวิธี

มาส์กหน้าอย่างไรให้ได้ผลและถูกวิธี

มาส์กหน้าอย่างไรให้ได้ผลและถูกวิธี มาส์กหน้าเป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลผิวหน้า และเป็นการดูแลปรนนิบัติผิวหน้าที่ทำได้ง่าย เพราะปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์สำหรับมาส์กหน้าจำหน่ายอยู่มากมายตามท้องตลาด นอกจากนี้คุณยังสามารถทำมาส์กขึ้นใช้เองที่บ้านของคุณอีกด้วย การมาส์กหน้าอาจต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าผิวของคุณจะกลับมาสวยเปล่งประกายอีกครั้ง และผลลัพธ์ที่ดีก็ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์ที่เลือกใช้และวิธีการมาส์กที่ถูกต้องด้วย การมาส์กหน้าที่ถูกวิธี ขั้นแรกทำความสะอาดผิวหน้าก่อนทำการมาส์กทุกครั้ง เพื่อให้มาส์กทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรอบไอน้ำให้กับผิวหน้าอย่างน้อย 5-10 นาที เพื่อเป็นการเปิดรูขุมขนและทำให้วิตามินและสารบำรุงผิวซึบเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว หากไม่อบไอน้ำอาจเปลี่ยนมาสครับแทน เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป และเพื่อให้ส่วนผสมในมาส์กดูดซึมเข้าสู่ผิวหน้าได้ดี จากนั้นเช็ดด้วยโทนเนอร์ ควรมาส์กหน้าทิ้งไว้ 10 – 15 นาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสูตรและส่วนผสม เนื่องจากมาส์กบางชนิดอาจต้องล้างออกทันทีหลังจากทำการมาส์ก 5 นาที ขณะที่บางสูตรแนะนำให้มาส์กทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ดังนั้น หากคุณซื้อมาส์กสำเร็จรูปอย่าลืมศึกษารายละเอียดบริเวณฉลากของผลิตภัณฑ์ก่อนทำการมาส์กหน้าทุกครั้ง เพื่อให้การใช้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพ การล้างทำความสะอาดมาส์ก หากเป็นชนิดดินหรือโคลน ให้ใช้น้ำเปล่าพรมมาส์กให้เปียกแล้วใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดออก สำหรับกรณีที่เป็นเจลหรือครีม คุณสามารถล้างออกด้วยน้ำสะอาดและซับให้แห้งได้ หลังมาส์กหน้าทุกครั้งสิ่งสำคัญคือ การใช้โทนเนอร์เช็ดทำความสะอาดผิวหน้าหรือสเปรย์น้ำแร่ทันทีหลังจากล้างออก และอย่าลืมใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์นวดเบา ๆ เพื่อเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิว ประเภทของมาส์กที่มีจำหน่ายอยู่ตามท้องตลาด มีดังนี้คือ Overnight Masking หรือมาส์กชนิดที่ใช้มาส์กทิ้งไว้ข้ามคืน เหมาะสำหรับการทำทรีทเมนต์และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ปกติจะมีลักษณะเป็นเนื้อเจลและมีความเด้งและเรียบเนียน วิธีมาส์ก คือ ทามาส์กบาง ๆ …

มาส์กหน้าอย่างไรให้ได้ผลและถูกวิธี Read More »

ฝ้าและรอยดำระหว่างตั้งครรภ์ดูแลรักษาอย่างไรให้ได้ผล

ฝ้าและรอยดำระหว่างตั้งครรภ์ดูแลรักษาอย่างไรให้ได้ผล

ฝ้าและรอยดำระหว่างตั้งครรภ์ดูแลรักษาอย่างไรให้ได้ผล ช่วงเวลาตั้งครรภ์ทำให้คุณแม่หลายคนต้องเผชิญกับภาวะฮอร์โมนแปรปรวนที่ส่งผลให้เกิดอาการหงุดหงิด และในหญิงตั้งครรภ์บางคนพบปัญหาฝ้าและรอยดำในช่วงนี้ด้วย ฝ้าแตกต่างจากรอยดำ เพราะฝ้ามีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลฝังลึกลงไปยังชั้นผิวหนังทำให้รักษาได้ยาก สาเหตุหลักของการเกิดฝ้ามาจากรังสี UV และปัจจัยอื่น ๆ เช่น ยาคุมกำเนิด ฮอร์โมน และประวัติครอบครัว เป็นต้น ขณะที่รอยดำ หมายถึง สภาพผิวที่มีการเปลี่ยนสีที่เกิดบนผิวหนัง ไม่ได้ฝังลึกลงไปยังชั้นผิวหนังเหมือนฝ้า รอยดำเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น สิวหรือฝี รอยที่เกิดจากแสงแดด กลาก หรือโรคสะเก็ดเงิน เป็นต้น เพราะฉะนั้นปัจจัยใดเพียงปัจจัยหนึ่งร่วมกับการได้รับรังสียูวีจึงกระตุ้นทำให้เกิดฝ้าได้ง่าย ดังนั้น เมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีผิวควรรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้อง สาเหตุของฝ้าช่วงตั้งครรภ์พบบ่อยที่สุดมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น  โปรเจสเตอโรน เอสโตรเจน และเมลาโนคอร์ติน จึงทำให้เกิดฝ้า หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานมีความเสี่ยงต่อการเกิดฝ้า เช่นเดียวกับหญิงที่ป่วยด้วยภาวะไทรอยด์ เบื้องต้นในการดูแลรักษาฝ้าและรอยดำ แพทย์จะวินิจฉัยด้วยตาเปล่า และทำการทดสอบด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อแยกแยะปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้ฝ้า เมื่อทำการวินิจฉัยแล้วแพทย์จะทำการตรวจ Wood’s Lamp โดยทดสอบว่าผิวของคุณได้รับเชื้อราหรือแบคทีเรียหรือไม่ ด้วยการใช้แสงบางชนิดทดสอบกับผิวหนัง การทำเช่นนี้จะช่วยระบุจำนวนชั้นของผิวที่ได้รับผลกระทบจากการเกิดฝ้า การรักษาฝ้าและรอยดำระหว่างตั้งครรภ์ ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน บางคนพบว่าฝ้าหายไปเองหลังการคลอดบุตร แต่ถ้าไม่หายนั้นแพทย์จะแนะนำให้ใช้ยา เช่น ไฮโดรควิโนน ซึ่งเป็นยาที่นิยมใช้รักษาฝ้า ที่มีทั้งแบบเจลและเนื้อครีม …

ฝ้าและรอยดำระหว่างตั้งครรภ์ดูแลรักษาอย่างไรให้ได้ผล Read More »

แป้งข้าวโอ๊ตดีกว่าแป้งสาลีอย่างไร

แป้งข้าวโอ๊ตดีกว่าแป้งสาลีอย่างไร

แป้งข้าวโอ๊ตดีกว่าแป้งสาลีอย่างไร เป็นที่ถกเถียงมาช้านานสำหรับคุณค่าทางอาหารระหว่างแป้งสาลีกับแป้งอเนกประสงค์ ซึ่งพบว่าแป้งสาลีนั้นดีต่อสุขภาพมากกว่าแป้งสาลีอเนกประสงค์ เพราะแป้งสาลีธรรมดามีปริมาณสารอาหารมากกว่าแป้งสาลีอเนกประสงค์ อย่างไรก็ตาม แป้งสาลีอาจไม่เหมาะกับผู้แพ้กลูเตนเท่าใดนัก ดังนั้น ตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพที่อยากจะแนะนำในวันนี้คือ แป้งข้าวโอ๊ต ที่นอกจากจะให้พลังงานไม่แตกต่างจากแป้งชนิดอื่น ๆ แล้ว ยังเป็นที่ทราบกันดีว่าอุดมไปด้วยสารอาหารมากมายที่ดีต่อสุขภาพและช่วยในการลดน้ำหนักได้ดี หากนำแป้งสาลีมาเปรียบเทียบกับแป้งข้าวโอ๊ตจะพบข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ ความแตกต่างระหว่างแป้งข้าวโอ๊ตดีกับแป้งสาลี กลูเตน พบในแป้งสาลีค่อนข้างมาก ขณะที่แป้งข้าวโอ๊ตไม่มีกลูเตนเลยทำให้ปลอดภัยกับคนที่แพ้กลูเตน แม้แป้งที่มีกลูเตนจะมีความยืดหยุ่นและเหนียวหนึบ แต่แป้งทั้งสองชนิดมีรสชาติใกล้เคียงกันสามารถใช้ทดแทนกันได้ และข้อดีของแป้งข้าวโอ๊ตอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีรสชาติหวานกว่าเล็กน้อย ทำให้ขนมมีรสชาติดี ลดการใช้น้ำตาลลงได้ค่อนข้างมาก จึงเป็นแป้งทางเลือกที่ถือว่าดีต่อสุขภาพ เนื้อสัมผัส แป้งข้าวโอ๊ตและแป้งสาลีให้เนื้อสัมผัสที่แตกต่างกัน อาหารที่ทำจากแป้งสาลีจะมีความยืดหยุ่นกว่าเล็กน้อย ขณะที่ขนมที่ทำจากแป้งข้าวโอ๊ตจะมีเนื้อหยาบและเบา แต่ทว่าแป้งข้าวโอ๊ตดีต่อสุขภาพและการลดน้ำหนักมากกว่าแป้งสาลี ความชื้น อาหารหรือขนมที่ทำจากแป้งข้าวโอ๊ตเป็นหลักจะมีความนุ่มกว่าเมื่อเทียบกับอาหารหรือขนมที่ทำจากแป้งสาลี เพราะแป้งข้าวโอ๊ตมีคุณสมบัติในการกักเก็บความชื้นได้ดีกว่าแป้งสี ดังนั้นหากคุณเลือกทำคุกกี้และขนมปังด้วยแป้งข้าวโอ๊ต นอกจากคุณจะได้ขนมที่นุ่มน่ากิน มีรสสัมผัสที่ดีแล้วยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย แป้งข้าวโอ๊ตดีกว่าแป้งสาลีอย่างไร ประโยชน์ต่อสุขภาพ แป้งสาลีมีประโยชน์ต่อสุขภาพน้อยกว่าเมื่อเทียบกับแป้งข้าวโอ๊ต ข้าวสาลีมีคาร์โบไฮเดรตมากกว่าและอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ส่วนข้าวโอ๊ตมีคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่าและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น การควบคุมความดันโลหิตและลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในร่างกาย ที่สำคัญยังช่วยในการลดน้ำหนักอีกด้วย นอกจากนี้ แป้งสาลียังทำให้ย่อยยาก ขณะที่ข้าวโอ๊ตนั้นอุดมไปด้วยไฟเบอร์ทำให้ย่อยง่ายและดีต่อระบบขับถ่าย การสรรหา เราอาจหาซื้อแป้งสาลีได้ทั่วไปตามท้องตลาด ขณะที่แป้งข้าวโอ๊ตนั้นจะพบได้ยาก นอกจากการสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ หรือห้างสรรพสินค้าชั้นนำ สารอาหาร แป้งข้าวโอ๊ตมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ซึ่งเป็นที่รับรู้กันดีอยู่แล้ว …

แป้งข้าวโอ๊ตดีกว่าแป้งสาลีอย่างไร Read More »

อโลเวร่าบัตเตอร์

บอกลาปัญหาผิวแห้งและผิวแตกลายด้วยอโลเวร่าบัตเตอร์

บอกลาปัญหาผิวแห้งและผิวแตกลายด้วยอโลเวร่าบัตเตอร์ ผิวแห้ง ผิวแตกลายเป็นปัญหาที่พบมากในคนที่มีน้ำหนักตัวมาก หญิงตั้งครรภ์ และคนที่มีปัญหาผิวแห้ง เป็นต้น โดยผิวแห้งเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น ผิวขาดความชุ่มชื้น พันธุกรรม ฮอร์โมน สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ผิวแตกลายของผิวมีสาเหตุมาจากผิวหนังชั้นกลางมีการยืดขยายมากจนเกินไป หากผิวของคุณกำลังเผชิญกับปัญหาเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลอย่างถูกต้อง ซึ่งปกติการดูแลปัญหาผิวแห้งและแตกลายส่วนใหญ่จะใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ในการบำรุงและฟื้นฟู ดังนั้น จึงขอแนะนำวิธีทำมอยส์เจอร์ไรเซอร์ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติอย่างอโลเวร่าบัตเตอร์ (Aloe Vera Butter) มาฝากกัน อโลเวร่าบัตเตอร์ (Aloe Vera Butter) อุดมไปด้วยกรดไขมันและวิตามินที่ดีต่อผิว และมีประโยชน์ในการรักษาปัญหาผิวแห้ง รอยผิวแตกลาย เซลล์ลูไลท์ และปกป้องผิวสวยให้กระจ่างใส อโลเวร่าบัตเตอร์ประกอบด้วย ว่านหางจระเข้ ซึ่งมีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ป้องกันผิวแห้งกร้าน รูขุมขนกระชับ บรรเทาและรักษาอาการอักเสบของผิวหนัง เช่น สิว หรือแผลอื่น ๆ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวให้ผิวดูสุขภาพดี เชียบัตเตอร์ อุดมไปด้วยกรดไขมัน และวิตามิน A, D, E และ F ที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอทำให้ผิวเปล่งประกายสุขภาพดี และปกป้องผิวจากรังสี UV อีกด้วย เชียบัตเตอร์ที่เป็นเนื้อครีมเข้มข้นจะช่วยลดรอยผิวแตกลาย เซลล์ลูไลท์ …

บอกลาปัญหาผิวแห้งและผิวแตกลายด้วยอโลเวร่าบัตเตอร์ Read More »

น้ำมันหอมระเหยที่ช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น

น้ำมันหอมระเหยที่ช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น

น้ำมันหอมระเหยที่ช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น เป็นที่ยอมรับกันดีถึงสรรพคุณชั้นเลิศของน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีหลายประการทั้งในด้านความงามและช่วยผ่อนคลายความเครียด กลิ่นหอมจากสารสกัดธรรมชาติของดอกไม้นานาชนิด และพืชพันธุ์ที่ให้กลิ่นหอมจะช่วยทำให้ร่างกายของคุณรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งหลายคนคงคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับการบำบัดความเครียดด้วยน้ำมันหอมระเหย แต่ทราบหรือไม่ว่าน้ำมันหอมระเหยยังมีคุณสมบัติในการช่วยในการนอนหลับสบายด้วย และทราบหรือไม่ว่าน้ำมันหอยระเหยกลิ่นใดบ้างที่ช่วยบำบัดรักษาอาการนอนไม่หลับในเวลากลางคืน และนี่คือ น้ำมันหอมระเหยที่นิยมนำมาใช้รักษาอาการนอนไม่หลับในเวลากลางคืน ที่ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณนอนหลับสบายยิ่งขึ้นแล้ว ยังทำให้ร่างกายและจิตใจสงบลงด้วย JASMINE ESSENTIAL OIL (น้ำมันหอมระเหยมะลิ)น้ำมันหอมระเหยจากดอกมะลิ เป็นที่รับรู้กันดีว่าถูกนำมาใช้รักษาปัญหาสุขภาพและความงามมาช้านาน กลิ่นหอมของมะลิช่วยให้ร่างกายและจิตใจสงบและรู้สึกผ่อนคลาย เหมาะกับคนที่มีปัญหานอนไม่หลับกระสับกระส่ายหรือต้องการผ่อนคลายความเครียดที่เผชิญมาในแต่ละวัน LAVENDER ESSENTIAL OIL (น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์)ลาเวนเดอร์ เป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมสดชื่น จึงมีคุณสมบัติในการช่วยผ่อนคลายและทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น เป็นน้ำมันที่จะช่วยลดความวิตกกังวล เหมาะสำหรับการผ่อนคลายและทำให้นอนหลับสบาย CHAMOMILE ESSENTIAL OIL (น้ำมันคาโมมายล์)น้ำมันหอมระเหยคาโมมายล์ เป็นสมุนไพรที่มีมาตั้งแต่โบราณ ซึ่งมีคุณสมบัติในการบำบัดและกล่อมประสาท ช่วยในเรื่องการผ่อนคลาย จึงมีการแนะนำให้นำมาใช้รักษาอาการนอนไม่หลับ ROSE ESSENTIAL OIL (น้ำมันดอกกุหลาบ) ช่วยลดความกังวลและความตึงเครียด กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของกุหลาบ จะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และนอนหลับสบายยิ่งขึ้น YLANG YLANG ESSENTIAL OIL (น้ำมันกระดังงา) มีฤทธิ์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการนอนหลับสนิทหรือแก้ไขปัญหาการนอนให้ดีขึ้น เช่น การนอนหลับกระสับกระส่าย การใช้น้ำมันกระดังงาจะช่วยให้คุณหลับสนิทในเวลากลางคืน วิธีใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อการนอนหลับสบาย มี 3 วิธีที่นำมาฝากกัน …

น้ำมันหอมระเหยที่ช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น Read More »

เทคนิครับมือกับอาการผมร่วงหลังคลอด

เทคนิครับมือกับอาการผมร่วงหลังคลอด

ภาวะผมร่วงหลังคลอดส่วนใหญ่พบในหญิงคลอดบุตรแล้ว แต่ไม่ได้เกิดกับผู้หญิงที่คลอดบุตรแล้วทุกคนเสมอไป ส่วนใหญ่พบว่าปัญหาผมร่วงหลังคลอดมาจากเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิง และการขาดวิตามินบางชนิดตลอดจนความเครียดก็มีความสัมพันธ์กับการหลุดร่วงของเส้นผม ดังนั้น วิธีการรับมือกับปัญหาผมร่วงหลังคลอด มีดังนี้ การตัดผมสั้น ช่วยลดอาการผมร่วงลงได้ โดยเฉพาะการซอยผมหรือการตัดทรงบ๊อบให้สั้นลงจะช่วยทำให้เส้นผมดูหนาและดูมีวอลลุ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผมบ๊อบจะช่วยทำให้ผมดูมีวอลลุ่มและดูเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ ให้หลีกเลี่ยงการใช้ความร้อนกับเส้นผม เช่น การรีดผม และการไดร์ เพราะจะยิ่งทำให้ผมร่วงมากยิ่งขึ้น ใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อทำให้ผมของคุณดูหนาขึ้น คุณแม่หลังคลอดอาจใช้ผ้าคาดผมหรือผ้าพันคอพับและนำมาพันรอบผม เพื่ออำพรางเส้นผมที่บางลงและปกปิดอาการผมร่วงบริเวณขมับและหน้าผาก หลีกเลี่ยงที่คาดผม เพราะจะทำให้เห็นส่วนหน้าผากและขมับที่มีผมร่วงชัดเจน  เปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเส้นผม คุณแม่หลังคลอดลองเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเส้นผมและหนังศีรษะ ที่อุดมไปด้วยเคราติน ไบโอตินที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากสาหร่ายทะเล และสังกะสี เพราะสารสกัดเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นผมและหนังศีรษะ ลดอาการหลุดร่วงของเส้นผมลงได้  และท้ายที่สุดคือ เลือกรับประทานอาหารที่ถูกต้อง เช่น บริโภคอาหารจำพวกโปรตีน อาหารที่มีวิตามินสูง ผักใบเขียว ไข่ และนม นอกจากนี้ การรับประทานวิตามินและอาหารเสริม เช่น วิตามินดี และวิตามินดีคอมเพล็กซ์ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของโอเมก้า 3 จะช่วยบรรเทาอาการผมร่วงหลังคลอดได้อีกด้วย เพียงเท่านี้ อาการผมร่วงของคุณแม่หลังคลอดก็จะหมดไป เว็บไซต์ที่รวบรวมเรื่องราวสุขภาพ ลดน้ำหนัก เคล็ดลับความสวยงามที่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานของร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บสัญญาณอันตรายที่สำคัญ 69Diet.com credit : https://www.health.com/condition/pregnancy/postpartum-hair-loss

ดูแลผิวมันให้มีความชุ่มชื้น

ดูแลผิวมันให้มีความชุ่มชื้นด้วยวิธีธรรมชาติ

ดูแลผิวมันให้มีความชุ่มชื้นด้วยวิธีธรรมชาติ ดูแลผิวมันให้มีความชุ่มชื้นด้วยวิธีธรรมชาติ การดูแลผิวมันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากจะป้องกันไม่ให้เกิดสิวและรอยหมองคล้ำแล้ว ยังต้องให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวด้วย ซึ่งหลายคนคิดว่าการมีผิวมันอาจไม่จำเป็นต้องให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวก็ได้ แต่ทราบหรือไม่ว่าหากผิวขาดความชุ่มชื้นอาจทำให้เกิดการหมองคล้ำ และเป็นที่รู้กันดีว่าวิธีในการเติมเต็มความชุ่มชื้นให้กับผิวที่ง่ายที่สุด คือ การใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ แต่สำหรับชาวผิวมันแล้วเมื่อพูดถึงมอยส์เจอร์ไรเซอร์อาจคิดว่ามันจะยิ่งเป็นตัวเพิ่มความมันบนในหน้าหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราจึงได้รวบรวมวิธีการดูแลผิวมันด้วยวิธีธรรมชาติที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ที่บ้านมาฝากกัน บ่อยครั้งที่การล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอื่น ๆ เป็นประจำมักทำให้ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น อันเนื่องมาจากผิวได้สูญเสียน้ำมันจากธรรมชาติไป ดังนั้น เพื่อให้ผิวหน้าชุ่มชื้นไม่แห้งตึงจึงควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์หลังการล้างหน้าทุกครั้ง ซึ่งมอยส์เจอร์ไรเซอร์มีทั้งชนิดน้ำและชนิดครีม แนะนำให้ใช้ชนิดครีมหลังล้างหน้าในตอนเช้า และใช้ชนิดน้ำหลังการล้างหน้าก่อนนอน อย่างไรก็ตาม มอยส์เจอร์ไรเซอร์บางสูตรอาจไม่เหมาะกับสภาพผิวมัน ทำให้เกิดอาการแพ้หรือมีสิว จึงขอแนะนำวิธีการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวมันด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบโฮมเมดที่สามารถทำได้ที่บ้านดังนี้ วิธีการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวมัน นม มีกรดแลคติก มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้น ช่วยเป็นเกราะป้องกันผิว เพียงใช้นมสด ¼ ถ้วย เติมน้ำมะนาว 2 – 3 หยด ผสมให้เข้ากันทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำเช่นนี้สัปดาห์ละครั้ง จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวมันและไม่ทำให้ใบหน้ามันเยิ้ม ว่านหางจระเข้ ไม่เพียงให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวของคุณเท่านั้น แต่ยังช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากรังสียูวี ทาเจลว่านหางจระเข้บริเวณใบหน้าและลำคอ ทำเช่นนี้ทุกคืนก่อนนอน มะนาวและน้ำผึ้ง มะนาวมีคุณสมบัติในการสมานแผลชั้นเลิศ และยังทำให้ใบหน้าขาวกระจ่างใส …

ดูแลผิวมันให้มีความชุ่มชื้นด้วยวิธีธรรมชาติ Read More »

ใช้กะทิดูแลผิวและเส้นผม

ใช้กะทิดูแลผิวและเส้นผม

ใช้กะทิดูแลผิวและเส้นผม กะทิเป็นวัตถุดิบที่ได้จากธรรมชาติ นอกจากจะนำมาปรุงอาหารแล้ว ยังนำมาใช้ดูแลผิวและเส้นผมได้อีกด้วย เช่น ใช้กะทิดูแลผิวให้เปล่งปลั่งสุขภาพดี เรียบเนียน ใช้บำรุงและดูแลเส้นผม ซึ่งประโยชน์ในด้านความงามของกะทิมีดังนี้ กะทิกับการดูแลเส้นผม กะทิมีคุณสมบัติในการดูแลเส้นผมและปรับสภาพหนังศีรษะ ทำให้เส้นผมดูหนาขึ้น เพียงใส่กะทิลงในชามแล้วเติมน้ำมันโรสแมรี่ 2-3 หยด นวดบริเวณศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง จึงล้างออกและสระผมตามปกติ ทำเช่นนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง มันจะทำให้เส้นผมหนานุ่มและยาวเร็วขึ้น ช่วยลดการชี้ฟูของเส้นผม กะทิทำให้เส้นผมแข็งแรง ลดการหลุดร่วง เส้นผมจัดทรงง่ายเพราะในกะทิมีส่วนประกอบของน้ำมัน ทำให้เส้นผมเงางาม นุ่มลื่น เพียงผสมกะทิลงในแชมพู แล้วใช้สระผมตามปกติ เพียงเท่านี้เส้นผมก็จะนุ่มลื่นจัดทรงง่ายไม่ชี้ฟูอีกต่อไป กะทิทำให้เส้นผมเงางามและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ลดการแตกปลายของเส้นผมและหยุดปัญหาเส้นผมแห้งกร้าน คุณสามารถใช้กะทิและน้ำผึ้งผสมให้เข้ากันมาส์กผมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นจึงสระผมตามปกติ กะทิดูแลผิวให้ชุ่มชื้นฉ่ำวาว น้ำกะทิมีความนุ่มนวลและบางเบา อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ หากคุณอยากมีผิวพรรณฉ่ำวาว แนะนำให้ใช้น้ำกะทิผสมน้ำมันดอกกุหลาบ 2-3 หยด นวดผิวหน้าและผิวกาย มันจะช่วยทำให้ผิวเปล่งประกายฉ่ำวาวขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถใช้กะทิดูแลผิวหน้าด้วยการใช้เป็นคลีนซิ่งเช็ดล้างเครื่องสำอางได้อีกด้วย มันจะช่วยทำความสะอาดเครื่องสำอางที่ฝังแน่นบนใบหน้าและทำความสะอาดรูขุมขนได้อย่างล้ำลึก วิธีการ คือ นวดผิวหน้าด้วยน้ำกะทิ และเช็ดทำความสะอาดด้วยสำลี …

ใช้กะทิดูแลผิวและเส้นผม Read More »

เคล็ดลับการทำเล็บเท้าอย่างมืออาชีพ

เคล็ดลับทำเล็บเท้าอย่างมืออาชีพ

เคล็ดลับการทำเล็บเท้าอย่างมืออาชีพ เคล็ดลับการทำเล็บเท้าอย่างมืออาชีพ หากคุณชื่นชอบการทำเล็บมือเล็บเท้า เป็นชีวิตจิตใจ และบ่อยครั้งต้องเสียเงินเพื่อเข้าร้านทำเล็บ ลองเปลี่ยนจากการเข้าร้านทำเล็บมาเป็นการซื้ออุปกรณ์ทำเล็บ เพื่อใช้ทำเล็บเองที่บ้าน นอกจากจะทำให้ประหยัดแล้วยังได้เล็บที่สวยสุขภาพดีด้วย สำหรับการทำเล็บมือนั้นอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่การทำเล็บเท้าอาจจะต้องเพิ่มความพิถีพิถันในการดูแลกันสักหน่อย วิธีการทำเล็บเท้าอย่างมืออาชีพนั้น มีขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ล้างน้ำยาทาเล็บเก่าออกใช้สำลีชุบน้ำยาล้างเล็บ แล้วเช็ดล้างสีทาเล็บเก่าออกให้หมด โดยควรเลือกน้ำยาล้างเล็บชนิดไม่มีส่วนผสมของอะซิโตน จะช่วยถนอมและดูแลเล็บอย่างอ่อนโยน แต่ถ้าคุณทาเล็บที่มีกลิตเตอร์ น้ำยาล้างที่มีส่วนประกอบของอะซิโตนจะช่วยทำความสะอาดสีทาเล็บได้ง่าย ขั้นตอนที่ 2 แช่เท้าของคุณขั้นตอนนี้สำคัญมากสำหรับการทำเล็บเท้า เพราะผิวหนังบริเวณเท้ามีความหยาบกร้านและแตก ดังนั้นการแช่เท้าในน้ำอุ่นที่ผสมเกลือเล็กน้อย ประมาณ 5 – 10 นาที จะช่วยให้ผิวหนังบริเวณเท้านุ่มขึ้น ใช้แปรงขัดที่เล็บเท้าและส้นเท้าเพื่อทำความสะอาด จากนั้นเอาเท้าขึ้นจากน้ำแล้วซับให้แห้ง ทาด้วยน้ำยาขจัดหนังกำพร้าบริเวณที่แห้งและหยาบกร้าน เช่น ส้นเท้า และบริเวณรอบนิ้วเท้า เคล็ดลับการทำเล็บเท้าอย่างมืออาชีพใช้กรรไกรตัดเล็บตัดแต่งส่วนเกินของเล็บเท้าให้เข้ารูปสวยงาม แล้วใช้ตะไบ ตะไบเล็บโดยการตะไบไปในทิศทางเดียวกัน และหากส้นเท้าหรือนิ้วเท้าของคุณหยาบให้ใช้ตะไบ ตะไบเท้าหรือใช้หินภูเขาไฟขัดบริเวณที่หยาบกร้าน เพื่อให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ขั้นตอนที่ 4 นวดเท้าเล็กน้อยหลังจากที่เท้าทั้งสองข้างแห้งสนิทให้ทาครีมบำรุงผิวลงบนเท้าทั้งสองข้าง นวดเท้าและนิ้วเท้าสัก 2-3 นาที หรือนานกว่านั้นหากคุณมีเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งและนวดเพื่อผ่อนคลาย และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ขั้นตอนที่ 5 เตรียมนิ้วเท้าใช้สำลีเช็ดคราบมันส่วนเกินออกเพื่อให้ง่ายต่อการลงน้ำยาทาเล็บ …

เคล็ดลับทำเล็บเท้าอย่างมืออาชีพ Read More »

ครีมกันแดด SPF 100

ครีมกันแดด SPF 100 ดีกับผิวจริงหรือ?

ครีมกันแดด SPF 100 เมื่อดวงอาทิตย์สาดแสงแผ่กระจายความร้อนมันจะกระจายรังสี UV ตัวการร้ายที่ทำลายผิว และหลายคนคิดว่าการปกป้องผิวด้วยครีมกันแดดที่มี SPF สูง ๆ จะช่วยให้ผิวปลอดภัยจากรังสี UV ขณะที่ ดร.มิเคเล่ กรีน แพทย์ผิวหนังด้านเครื่องสำอางในนิวยอร์ค กล่าวว่า แม้วันนี้เราจะสามารถเลือกครีมกันแดดได้ตามชั้นวางจำหน่ายทั่วไป ซึ่งมีค่า SPF 10 ไปจนถึง SPF 100+ แต่ทว่าค่า SPF ที่สูงไม่ได้แปลว่าจะปกป้องผิวจากแสงแดดได้ดีกว่า ครีมกันแดด SPF 100 หรือ SPF สูง ๆ โดยทั่วไปมีประสิทธิภาพมากกว่ากันหรือไม่นั้น ความจริงแล้ว SPF 30 สามารถป้องกันแสงแดดได้ 97 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง ดร.ชาริส เพอร์ลิง แพทย์ผิวหนังที่จากรัฐนิวเจอร์ซีย์ กล่าวว่า ครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 30 จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UV ได้ 97-100 เปอร์เซ็นต์ …

ครีมกันแดด SPF 100 ดีกับผิวจริงหรือ? Read More »