12 สิ่งที่ต้องรู้ เมื่อคุณเป็นข้ออักเสบ รูมาตอยด์
12 สิ่งที่ต้องรู้ เมื่อคุณเป็นข้ออักเสบ รูมาตอยด์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (RA-Rheumatoid Arthritis) เป็นภาวะภูมิต้านตนเองที่เกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของคุณทำลายข้อต่อโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่งผลให้เกิดอาการต่อไปนี้ที่รบกวนกิจกรรมประจำวันของคุณ:
- ปวด
- รอยแดง
- การอักเสบ
การรักษาโรค ข้ออักเสบ “รูมาตอยด์” เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดูแลอาการต่างๆที่จะเกิดขึ้น เช่นเดียวกับการปกป้องข้อต่อ และอวัยวะอื่นๆ จากการบาดเจ็บถาวร เช่นเดียวกับภาวะภูมิต้านทานผิดปกติอื่น ๆ ข้ออักเสบ “รูมาตอยด์” เป็นโรคที่ซับซ้อน อย่างไรก็ตาม มีหลายสิ่งที่ ผู้ป่วยข้ออักเสบรูมาตอยด์ สามารถทำได้เพื่อช่วยจัดการด้านต่างๆ ของโรคนี้ ที่สามารถช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้
1. รูมาตอยด์ เป็นโรคที่มองไม่เห็นในระยะแรกๆ ผู้ป่วยอาจต้องอธิบายให้คนรักฟัง เนื่องจากการอักเสบแฝงอยู่ ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพกาย และอารมณ์ของผู้ป่วย เช่น ปวด
เมื่อยล้า ตึง สิ่งสำคัญคือต้อง บอกคนใกล้ชิดให้ชัดเจน เกี่ยวกับอาการของคุณ เพราะพวกเขาอาจไม่สามารถ “เห็น” สิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่ ผู้ป่วยควรบอกให้เข้าใจ เพื่อพวกเขาอาจจะสามารถช่วยดูแลคุณได้ดีขึ้น
2. รูมาตอยด์ อาจส่งผลต่อผู้ป่วย แตกต่างออกไปเมื่อตามอายุ การทบทวนงานวิจัยในปี 2560 แหล่งที่เชื่อถือได้แสดงให้เห็นว่าในขณะที่ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ นั้นพบได้บ่อยในผู้หญิงอายุ 25 ถึง 45 ปี อาการสามารถพัฒนาได้ในเพศชายและเพศหญิงทุกวัย
แม้ว่า รูมาตอยด์ จะมีอาการเจ็บปวด และการอักเสบในข้อต่อเป็นหลัก แต่ผู้ป่วยสามารถได้รับอาการอื่นๆ ในระดับต่างๆ ได้เมื่ออายุมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว อาจมีนัยสำคัญมากขึ้น หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรครูมาตอยด์ ในช่วงอายุ 20 หรือ 30 ปี
ตัวอย่างเช่น คุณอาจพบว่าคุณ:
- ต้องการเวลามากขึ้นเพื่อทำงานประจำวันให้เสร็จเนื่องจากความเหนื่อยล้า
- มักจะมีอาการหลงลืมบ่อยขึ้น
- จำเป็นต้องนอนหลับให้มากขึ้น บางทีโดยการเข้านอนเร็วกว่าที่คุณเคย
- ต้องการพักผ่อนมากขึ้นหลังจากออกไปเที่ยวมาทั้งวัน
- น้ำหนักลด แม้ว่าคุณไม่ได้พยายาม
เรื่องน่ารู้ของ ผู้ป่วยรูมาตอยด์
3. เป็นไปได้ว่าผู้ป่วยที่เป็นรูมาตอยด์ จะเป็น SLE ในเวลาเดียวกัน (โรค Systemic Lupus Erythematosus (SLE) หรือลูปัส) คือ เป็นภาวะภูมิต้านตนเองทำลายตนเองอีกประเภท
หนึ่ง และเป็นไปได้ที่จะมีอาการรูมาตอยด์ และ SLE เกิดขึ้นร่วมกัน ซึ่งเรียกว่ากลุ่มอาการทับซ้อน เงื่อนไขทั้งสองมีอาการร่วมกันที่คล้ายกัน แต่โรค SLE ยังสามารถทำให้เกิด:
- ผื่นผิวหนังหรือแผล
- ปัญหาเกี่ยวกับไต
- เซลล์เม็ดเลือดและเกล็ดเลือดลดลง
ทั้ง รูมาตอยด์ และ SLE เกิดจากการอักเสบ ดังนั้นการรักษาจึงอาจคล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตาม อาการของโรครูมาตอยด์ จะดีขึ้น และสำหรับ SLE อาจจะกำเริบได้ สิ่งสำคัญคือต้องกำหนดเวลานัดหมายกับแพทย์ เพื่อตรวจร่างกายและตรวจเลือดเป็นประจำ
4. นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ที่จะมี fibromyalgia (ไฟโบรมัยอัลเจีย คือ โรคเรื้อรังที่ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดตามกล้ามเนื้อร่วมกับมีอาการอ่อนเพลีย) ทั้ง fibromyalgia และ รูมาตอยด์ มีอาการคล้ายคลึงกัน รวมทั้งความเหนื่อยล้า และความเจ็บปวด อย่างไรก็ตาม รูมาตอยด์ ยังทำให้เกิดอาการปวดข้อ และการอักเสบ สามารถรักษาได้ด้วยยาประเภทต่างๆ
ในทางกลับกัน Fibromyalgia อาจทำให้เกิดอาการปวดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ในขณะที่ รูมาตอยด์ เป็นภาวะภูมิต้านทานผิดปกติแบบก้าวหน้า แต่ fibromyalgia เป็นภาวะเรื้อรังที่ไม่แย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป
การเป็นรูมาตอยด์ สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด fibromyalgia ได้เช่นกัน ตามที่มูลนิธิโรคข้ออักเสบนักวิจัยคาดการณ์ว่ามากกว่า 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ป่วย มี fibromyalgia และ รูมาตอยด์ ร่วมกัน
อาการอื่นๆ ของไฟโบรมัยอัลเจีย ได้แก่
- ปวดศีรษะ
- ซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
- อาการลำไส้แปรปรวน (IBS)
- ความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ เสียง และแสง
- ความอ่อนล้า
ในขณะที่ยังไม่มีวิธีรักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย คุณอาจช่วยจัดการกับอาการของคุณได้โดย: การนอนหลับสนิทให้เพียงพอ จัดการกับเทคนิคการผ่อนคลายความเครียด เช่น การทำสมาธิ
5. การออกกำลังกาย สามารถช่วยในการจัดการความเจ็บปวดได้ การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยปรับปรุงสุขภาพโดยรวม และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ป่วย แต่การเริ่มต้นออกกำลัง
กายของผู้ป่วยรูมาตอยด์ อาจเป็นเรื่องยาก หากอาการของคุณยังไม่สงบ เนื่องจากจะมีอาการปวดอยู่ตลอด อย่างไรก็ตาม พยายามออกกำลังกาย ให้เป็นกิจวัตรประจำวัน เช่น เริ่มต้นด้วยการเดิน แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะทางและความเร็ว การออกกำลังกายแบบใช้แรงต้าน และความยืดหยุ่น เช่น โยคะ ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการปวด และเพิ่มความคล่องตัวได้ โยคะ เคล็ดลับบรรเทาอาการปวด ของผู้ป่วยรูมาตอยด์
6. การพักผ่อนสำคัญพอๆ กับการออกกำลังกาย สถาบันโรคข้ออักเสบ แนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ควรพักผ่อนให้มากขึ้นเมื่อ อาการอักเสบของผู้ป่วยกำเริบ การออกกำลังกายมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจเพิ่มการอักเสบ และทำให้อาการของผู้ป่วยแย่ลง การพักผ่อนเป็นประจำยังช่วยลดความเหนื่อยล้าได้
ทางออกที่ดีที่สุด คือการฟังร่างกายของคุณเอง อาจพิจารณาพักผ่อนสักหนึ่งวัน หรือเปลี่ยนการออกกำลังกายด้วยโยคะยืดเหยียดแทน หากคุณ:
- รู้สึกเพลีย
- รู้สึกตึง
- มีอาการปวดมากเกินไป
7. ความเหนื่อยล้า และอาการ ‘สภาวะสมองล้า’ หรือที่เรียกว่า Brain Fog มีอยู่จริง แต่มีวิธีจัดการกับมันได้ ความเหนื่อยล้าเป็นอาการทั่วไปของ ผู้ป่วยรูมาตอยด์ และอาจบ่งบอกถึงการอักเสบเพิ่มจากเดิมได้ด้วย
ด้วยความเหนื่อยล้าจากโรคข้ออักเสบ คุณอาจรู้สึกเหนื่อย และอ่อนแอในระหว่างวัน แต่ไม่จำเป็นต้องรู้สึกง่วงนอน ความเหนื่อยล้าที่มากเกินไปอาจทำให้มีสมาธิหรือจดจำข้อมูลได้ยากขึ้น ซึ่งก็คืออาการของ ‘สภาวะสมองล้า’
แม้ว่าความเหนื่อยล้า อาจบรรเทาลงได้ด้วยการรักษา แต่ก็เป็นไปได้ที่จะพบอาการนี้ในระยะยาว คุณสามารถช่วยต่อสู้กับความเหนื่อยล้า และสภาวะล้าในสมองได้โดย:
- นอนให้เป็นเวลาตอนกลางคืนเป็นประจำ
- ออกกำลังกายให้เพียงพอในระหว่างวัน
- การรับประทานอาหารที่สมดุล
8. การจัดการความเครียดเป็นสิ่งสำคัญ ความเครียดสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอักเสบของโรค และทำให้มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น fibromyalgia เทคนิคการออกกำลังกายและการผ่อนคลายเป็นประจำ สามารถช่วยจัดการกับความเครียด และลดอาการอักเสบได้ สิ่งสำคัญคือต้องหาเวลาให้ตัวเองในแต่ละวัน ไม่ว่าจะ
- การเดิน
- นั่งสมาธิ
- ฟังเพลงผ่อนคลาย
9. รู้ว่าเมื่อใดควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ในขณะที่ความเครียดจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นครั้งคราวเป็นเรื่องปกติ แต่การที่จะต้องอยู่กับโรคนี้ในระยะยาวอาจ อาจบ่งบอกถึงภาวะสุขภาพจิต : เช่น
- โกรธ
- กลัว
- สิ้นหวัง
- เศร้า
หากคุณรู้สึกไม่เป็นตัวเอง และหมดความสนใจในกิจกรรมที่คุณชอบตามปกติ ให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเพื่อขอความช่วยเหลือทันที
10. การเข้ากลุ่มสามารถช่วยได้ บางครั้งคุณต้องการการสนับสนุนจากผู้อื่น ภายนอก เช่น เพื่อน ครอบครัว หรือผู้ป่วยโรคนี้ ที่อาจมีประสบการณ์เช่นเดียวกับคุณ ลองติดต่อกลุ่มผู้ป่วยรูมาตอยด์ – ทางออนไลน์ ตามช่องทางต่างๆ เช่น Facebook Twitter เพื่อช่วยเหลือ การพูดคุยกับผู้อื่นสามารถปรับปรุงสุขภาพจิตของผู้ป่วย ได้ด้วยการทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง
11. การควบคุมน้ำหนัก อาจช่วยลดอาการและการลุกลามของโรคได้ ตามที่สถาบันโรคข้ออักเสบ กล่าวว่าโรคอ้วนอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะประสบกับการอักเสบเพิ่มขึ้น
หรืออาการอื่นๆ แทรกแซง หากจำเป็น การลดน้ำหนักช่วยลดการลุกลามของโรค และลดอาการอักเสบได้ การลดน้ำหนักยังช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ 7 อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง สำหรับผู้ป่วย โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โดยเฉพาะ ข้อเข่า, สะโพก, หลัง อาจจะปรึกษากับแพทย์ประจำตัว เกี่ยวกับวิธีที่จะลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป อาจช่วยได้
12. สิ่งสำคัญคือต้องดูแลสุขภาพหัวใจด้วย ผลการอักเสบของ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ สามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะภายใน รวมทั้งหัวใจ และปอด การประเมินอวัยวะเหล่านี้เป็นระยะต้องเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาอาการโรคนี้ของผู้ป่วย
ในความเป็นจริงตามมูลนิธิโรคข้ออักเสบ ระบุว่า โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในผู้ที่เป็นโรครูมาตอยด์ นอกเหนือจากการจัดการ โรครูมาตอยด์ ผู้ป่วยสามารถทำสิ่งอื่น เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้ เช่น:
- การทำให้ความดันโลหิตของคุณอยู่ในระดับที่คงที่
- ลดระดับคอเลสเตอรอลของคุณ
- เพิ่มการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอให้กับกิจวัตรการออกกำลังกายของคุณ
- ด้วยการรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ
- พยายามเลิก การสูบบุหรี่
แนะนำ การลงทุน : ทำความรู้จัก UFABET ผู้ให้บริการระบบทางการเงิน อันดับ 1 ถ้าสนใจ สมัคร บาคาร่า จีคลับ เล่นเกม เกมไพ่ บาคาร่า ที่มีบริการครบครัน sagame66
ช่วยให้ท่านได้กำไรและปลอดภัย สร้างรายได้ง่ายๆ กับเกมสล็อต jili farm invaders สนใจคลิ๊กเลย